คั่นรายการโดย Lordofwar Nick
โรคซึมเศร้า สังคมญี่ปุ่น สังคมไทย เราควรเอาพุทธศาสนามาช่วยบำบัดดีไหม?
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน สัปดาห์นี้สัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายน โค้งสุดท้ายก่อนที่จะจบ “คัมภีร์ห้าห่วง” แล้ว เนื่องจากผมวางแพลนผิดไปหน่อย กะให้ตอนสุดท้าย “คัมภีร์แห่งอากาส” จบตอนสิ้นเดือนตุลาพอดี โดยลืมไปว่า เดือนกันยายนมีวันเสาร์ห้าวัน (แต่เตรียมต้นฉบับงานคัมภีร์ห้าห่วงไว้แค่สี่ตอน) อ้าว อ้าว งานนี้ผมก็เลยต้องเขียน “เรื่องคั่นรายการ” กันละ แล้วจะเขียนเรื่องไรดี?
พอดีมีพี่เอชอาร์ที่บริษัท มาพูดให้ฟังว่า ที่ๆ ทำงานเนี่ย มีพนักงานเป็น “โรคซึมเศร้า” ไปแล้วสองสามคน บอกผมอีกว่า น่าจะถือเป็นวาระเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข
ผมอึ้งไปสามวิแล้วก็ถามตัวเองในหัวว่า สังคมไทยประเทศไทยมาถึงจุดนี้ได้ไงวะ? ถ้าเป็นสังคมญี่ปุ่น ผมไม่แปลกใจ เพราะมันเป็นสังคมที่ทุกอย่างพยายามจะทำให้เนี้ยบ ไร้ซึ่งข้อผิดพลาด ไปเสียทุกสิ่ง ห้ามช้า ห้ามสาย ห้ามแตกแถว ห้ามๆๆๆ อันมีที่มาจากชีวิตในสมัยโบราณที่ระแวงไปเสียทุกสิ่งทั้งภัยธรรมชาติและภัยสงคราม ใครเคยดูหนังเก่าๆ แนวๆ ซามูไรอาจได้เห็นภาพความโหดร้ายจำพวกหมู่บ้านชาวนาทำมาหากินอยู่ดีๆ โดนโจรยกพวกฆ่าล้างหมู่บ้านซะงั้น ฆ่าหมดจริงๆ เด็กเล็กผู้หญิงคนแก่ก็ไม่เว้น สภาพสังคมสิ่งแวดล้อมมันปั้นรูป (shape) ให้คนญี่ปุ่นกลายเป็นคนขี้ระแวงระวังและคื่นตระหนกง่าย เครียดง่าย อยู่เสมอ จนมันกลายเป็นพันธุกรรมไปแล้วกระมัง
ภาพจากหนังเรื่อง “เจ็ดเซียนซามูไร” (1954)
เรื่องราวของชาวบ้านที่จ้างโรนินเจ็ดคนมาเพื่อคุ้มครองพวกตนจากภัยโจร (ที่มา Filmuforia)
รู้ไหมครับ ไอ้คำพูดภาษาญี่ปุ่นเวลาคนจะออกจากบ้าน คนที่ยังอยู่บ้านจะพูดทักว่า “คิ โวะ ทสึเคะเตะ เนะ” (気をつけてね) ฟังดูดีนะครับถ้าแปลแบบไทยๆ ว่า รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีด้วย แต่นัยจริงๆ น่ากลัวนะครับ ถ้าใครไปอยู่ในเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น จะซาบซึ้งกับคำนี้มากว่า หมายความตรงๆ จริงๆ แบบไม่ทำให้ฟังดูซอฟท์อย่างไทยๆ ว่า “ระวังตัวด้วย” เพราะออกไปแล้ว อาจไม่ได้ (มีชีวิต) กลับมาอีก…
แต่สังคมไทยมันไม่น่าจะเป็นแบบนั้นนิ?
ในความรับรู้ของผม ซึ่งใครจะว่าแก่แล้วก็ช่าง ผมเกิดปี พ.ศ. 2520 เป็นคนเจเนอเรชั่น X ภาพรวมของสังคมไทยคนไทยที่ผมเห็นตอนเด็ก ไม่เห็นมีอะไรจะชวนให้คนไทยต้องมีชีวิตอย่าง หวาดระแวง ตื่นตระหนก เครียด ได้เลย สภาพความเป็นอยู่ สังคมมันห่างไกลจากจุดนั้นมากๆ ผมเรียน ป.หนึ่งถึง ป.สาม โรงเรียนเสสะเวช แม่ผมให้ผมเดินกลับจากโรงเรียนมาที่บ้านเพียงคนเดียว โดยไม่เคยเห็นว่าต้องกลัวโจรจะมาลักพาตัวเลย ผมก็ไม่เคยรู้สึกว่าต้องกลัวอะไร เดินๆ ไป ระหว่างทาง ซื้อขนมขี้หนูเดินไปกินไปชิลๆ เดินกลับถึงอพาร์ทเมนต์ทุกวัน
ก็สมัยนี้มันไม่ได้เหมือนสมัยก่อน (ตอนคุณยังเด็ก) นี่? ท่านผู้อ่านอาจจะโวยใส่ผมได้นะ
ใช่ครับ นั่นแหละครับ ประเด็น
เพื่อนเก่าผมคนนึง นานมาแล้ว พูดให้ผมฟังว่า ดูสิ กรุงเทพฯ เรามีรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน ชีวิตคนกรุงเทพฯ คล้ายเมืองญี่ปุ่นเข้าไปทุกวัน ปัญหาสังคมของคนกรุงเทพฯ ก็คล้ายคนญี่ปุ่นเข้าไปด้วย คนฆ่าตัวตายกันเยอะขึ้น ผมนี่ตะลึง อึ้ง ไป 10 วิ
เอาจริงๆ วิถีชีวิตของคนในโลกเสรี โลกทุนนิยม ยิ่งอยู่ในเมืองใหญ่เมืองหลวงด้วยเนี่ย ส่วนใหญ่มันก็เหมือนกันหมดแหละครับ เพราะไลฟ์สไตล์ชีวิตมันก็ไปแนวๆ เดียวกันหมด
ทำงานเพื่อเงิน แข่งขันเพื่อความสำเร็จที่ไม่มีที่สิ้นสุด มีชีวิตที่โดดเดี่ยวจากสังคมทางกายภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ขาดความสัมพันธ์ทางใจกับผู้อื่นที่จะทำให้อุ่นใจ วางใจ เมื่อคนอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนี้ไปเรื่อยๆ จิตก็ยิ่งหวาดระแวง กลัวๆๆ กลัวความล้มเหลว จิตใจคนเราพอกลัว หวาดระแวง จนถึงขีดสุด มันก็กลายเป็นจมดิ่ง ไม่เอาอะไร กลายเป็นจิตที่ไร้กำลัง ไร้แรงขับที่จะต่อสู้มีชีวิตอยู่
สังคมไทยสมัยก่อน ห่างไกลจากภาวะเหล่านี้มากๆ คนไทยเป็นคนสบายๆ ออกแนวขี้เกียจ ทำอะไรแบบค่อนไปทาง เหนื่อยก็พักหนักก็พอ ครอบครัวแบบขยายอยู่กันเยอะพ่อแม่ปู่ย่าตายายลูกหลาน ไม่ต้องกลัวโดดเดี่ยว (ครอบครัวคนไทยแท้มักรักลูกหลาน (จนบางทีโอ๋หนักไปหน่อย) ลูกหลานได้รับความอบอุ่นความรักเพียงพอ แต่ถ้าเป็นครอบครัวคนจีน มักปฏิบัติกับลูกหลานอย่างแบ่งชนแยกชั้นตามขนบที่ได้อิทธิพลจากลัทธิขงจื๊อ (ซึ่งญี่ปุ่นเองก็รับมาด้วย) การให้ความรักความใกล้ชิด (intimacy) อย่างครอบครัวไทยๆ จึงไม่มี)
แต่สังคมไทยสมัยนี้ ก็ไม่ได้ต่างจากสังคมในโลกเสรีทุนนิยมสักเท่าไหร่แล้ว จึงเป็นเรื่องที่จะเข้าใจได้ ว่าจะต้องเจอปัญหาเหมือนในสังคมประเทศอื่นที่อยู่ภายใต้โลกเสรีทุนนิยมแบบเดียวกัน เพียงแต่ ญี่ปุ่นมันจะ อาการหนักหน่อย เพราะกรอบสังคมวัฒนธรรมมันสร้างอิทธิพลให้คนรู้สึกต้องทนทุกข์ หวาดระแวง กลัวๆๆ ได้มากกว่าของไทย แต่ตอนนี้ สังคมไทยคนไทยเอง ก็กำลังเปลี่ยนไป พูดให้ชัดๆ ก็คือ เปลี่ยนไปในทางที่เลวกว่าเดิมเรื่อยๆ คนไทยในโลกโซเซียลก็เลวทราม พร้อมจะแสดงความเกลียดชัง ด่าทอ มุ่งร้าย อย่างไม่มีขันติธรรม ไม่รู้จักคำว่าอภัย ไม่ต่างจากญี่ปุ่น เกาหลี หรือฝรั่ง เมื่อคนขาดความสัมพันธ์กับคนด้วยกันทั้งในทางกายภาพ (การได้สัมผัส พูดคุยแบบมองหน้ามองหน้ากันจริงๆ ตรงๆ) และในทางใจ (การได้ความรัก ความอบอุ่น) คนก็จะยิ่งมองไม่เห็นคนเป็นคนด้วยกัน และพร้อมที่จะ “ทำอะไรก็ได้” ใส่มัน
แล้วโรคซึมเศร้าเกิดจากอะไร?
โรคภัยทุกอย่างคนเรา ไม่ว่าจะทางกายหรือทางใจ ล้วนเกิดจาก “การผิดไปจากธรรมชาติที่ควรเป็น” กินของที่ไม่ดีผิดธรรมชาติที่ควรเป็น ไม่สะอาด หรือทำมาจากอะไรก็ไม่รู้ หรือกินสิ่งใดมากเกินกว่าที่เราควรจะกิน (หรือน้อยกว่าที่ควรจะกิน) ก็ทำให้เจ็บป่วย การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ผิดจากธรรมชาติที่ควรเป็น ก็ทำให้เจ็บป่วยได้เหมือนกัน ในที่นี้ ความเจ็บป่วยทางใจ ก็เหมือนกัน คนเราเป็นสัตว์สังคมต้องการความรักความใกล้ชิด หมาแมวแม่ลูกมันยังคลอเคลียกัน แมวเห็นคนที่มันโอเคเดินมามันก็เนี้ยใส่ หมาเห็นคนที่มันโอเคเดินมา มันก็ยังเข้ามาดมๆ เด็กเกิดมาต้องได้รับความรักจากพ่อแม่ โตมาก็ต้องได้ความรักจากเพื่อนรอบตัว ถึงวัยก็ต้องได้รับความรักจากเพศตรงข้าม มีคู่ผัวตัวเมีย มีลูกเต้าสืบเผ่าพันธุ์ต่อไป ถ้าขาดสิ่งนี้ไป มีชีวิตอยู่ได้ไหม มีได้ในทางกาย แต่จิตใจจะแห้งแล้ง ในการทำงานการเรียน ก็เหมือนกัน ทุกคนอยากประสบความสำเร็จ ไม่มีใครอยากล้มเหลว แต่ก็ต้องเรียนรู้การที่จะ “วางใจของตนให้อยู่ในที่ที่พอดี” ประสบความสำเร็จน่ะได้ แต่เอาที่พอดีไม่ตึงไปจนทำลายตนเอง ล้มเหลวไปหากไม่ใช้เรื่องที่แก้ไขไม่ได้ก็อย่าไปโทษตัวเองให้มากไป ถ้าวางใจให้พอดี มีชีวิตความสัมพันธ์กับผู้อื่นที่ดี เราก็จะใช้ชีวิตแบบที่เชื่อมั่นในตัวเองว่า “เรารับมือกับปํญหาได้อย่างที่ไม่ต้องไปกังวลหรือหวาดระแวง” ชีวิตที่หวาดระแวง กลัว ก็หายไป จิตของเราก็จะพ้นจากความขัดข้อง มีความคล่องตัว มีกำลังมากขึ้น
นี่เป็นเหตุที่ว่าทำไมถึงมีคำแนะนำว่า ถ้าจะอยากบำบัดโรคซึมเศร้า ก็ควรไปออกกำลังกายเล่นกีฬาเสียบ้าง จริงๆ การออกกำลังกายเล่นกีฬาไม่ใช่ยารักษาโดยตรงหรอก แต่สิ่งที่อยู่ในการออกกำลังกายเล่นกีฬาต่างหาก ที่เติมเต็มในสิ่งที่เคยขาด คนเราที่ป่วยก็เพราะขาด เมื่อเติมให้เต็มแล้วไอ้ที่ป่วยก็ช่วยทุเลาได้
ออกกำลังกายเล่นกีฬาได้อะไร?
ได้สังคม ได้เพื่อน ก็เติมเต็มในเรื่องธรรมชาติที่ควรเป็นของมนุษย์ ที่ต้องมีสังคม
ได้ลองกำลังตัวเอง ได้เรียนรู้ที่จะทำให้ได้ในสิ่งที่เคยคิดว่าทำไม่ได้ เมื่อความเชื่อมั่นในตัวเองมา ความหวาดระแวง ความกลัว ก็หายไป ความหวาดระแวง ความกลัว เกิดจากความรู้สึกที่ว่าตัวเองไร้กำลัง ไม่อาจทำอะไรเพื่อแก้ปัญหาให้ตัวเองได้ ถ้ามีกำลังเสียแล้วก็ไม่ต้องกลัว ในอีกด้านหนึ่ง การได้ลองกำลังตัวเอง ก็ทำให้ได้รู้ “ขีดจำกัดของตัวเอง” ซึ่งจะนำไปสู่การเรียนรู้ว่า “อะไรเท่าไหร่จึงจะพอดีพอเหมาะกับตัว” แทนที่จะบ้าไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สุด แบบไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักว่า ความพอดี อยู่ที่ตรงไหน
บางท่านอาจจะแย้งว่า คุณพูดแบบนี้ คุณมันไม่เข้าใจ โรคซึมเศร้าเป้นความผิดปกติของร่างกายนะ บลาๆ
ครับ
มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา
ผมได้อ่านมาในเว็บหนึ่ง เขาบอกว่า คนญี่ปุ่นเนี่ย มีกรรมพันธุ์ที่ มีตัวขนส่งเซโรโทนิน (serotonin transporters) แบบสั้น (S) มากกว่าชาติพันธุ์อื่นๆ ทำให้ร่างกายมีภาวะดูดซึมเซโรโทนินที่หลั่งออกมาแล้วกลับไปใช้ใหม่ได้น้อย แต่ขับออกไปจากร่างกายมาก ทำให้ร่างกายขาดเซโรโทนินอย่างต่อเนื่อง ทำให้ขี้ระแวง ขี้ตื่น มีโอกาสป่วยเป็นโรคจิตได้ง่าย (พูดแบบบ้านๆ คือเป็นพวกประสาทแดก) เมื่อเจอความตึงเครียดในชีวิต เว้นแต่จะอยู่ในสังคมที่มองโลกในแง่ดีและให้กำลังใจ
ผมอ่านแล้วจึงแวบในหัวขึ้นมาว่า ไม่แปลกใจเลยที่สังคมญี่ปุ่นต้องผลิต “วัฒนธรรมแห่งสิ่งปลอบประโลมใจ” ขึ้นมามากมายซะขนาดเอาไปขายได้ทั่วโลกปานนี้ ตั้งแต่การ์ตูน (มังงะ) อนิเมะ ยันไอดอล! (ให้กำลังใจ สู้ๆ นะ อะไรงี้) วัฒนธรรมแห่งสิ่งปลอบประโลมใจ การที่ต้อง “ให้กำลังใจ” กันอย่างฟุ่มเฟือย อาจมีเบื้องหลังมาจาก “ความเจ็บป่วยทางจิตใจ” ที่เป็นโรคที่แฝงอยู่ในชนชาติก็ได้นะ รึเปล่า?
พอพูดถึงตรงนี้แล้วผมชักจะอดคิดไม่ได้ว่า การที่เรารับเอา การ์ตูน อนิเมะ และไอดอลเข้ามา มันดีต่อสังคมไทยหรือเปล่า? หรือมันเป็นตัวชี้วัดว่า สังคมไทยกำลังเผชิญกับปัญหาความเจ็บป่วยทางจิตเหมือนกับสังคมญี่ปุ่นหรือเปล่า?
แต่ถ้าจะถามต่อไปอีกว่า ทำไมคนญี่ปุ่นถึงมีกรรมพันธุ์แบบนี้ล่ะ? คำตอบก็จะย้อนกลับไปหาข้อความที่ผมกล่าวไว้ข้างต้น คือ มันมีที่มาจากชีวิตในสมัยโบราณที่ระแวงไปเสียทุกสิ่งทั้งภัยธรรมชาติและภัยสงคราม
นั่นแหละ ผมถึงยกคำนี้มาพูด
มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา
มนสา เจ ปสนฺเนน ภาสติ วา กโรติ วา
ตโต นํ สุขมเนฺวติ ฉายาว อนุปายินี.
“ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่
สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจผ่องใสแล้ว
พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ความสุขย่อมไปตามเขา
เพราะเหตุนั้น เหมือนเงาไปตามตัวฉะนั้น.”
ประโยคนี้ไม่ได้ถูกพูดขึ้นมาลอยๆ เป็นประโยคที่พูดขึ้นในการยกเคสของ “มัฏฐกุณฑลี” เทพบุตรขึ้นมาเทศนา รายละเอียดเป็นอย่างไรท่านผู้อ่านสามารถไปอ่านเพิ่มเติมได้นะครับ
สุดท้าย ถึงจะบอกว่า มันเป็นกรรมพันธุ์ แต่เบื้องหลังของกรรมพันธุ์ มันก็มาจากจิตใจความคิดนี่แหละ ฉะนั้น ใครที่พยายามจะแย้งว่า โรคซึมเศร้า เป็นเรื่องของโรคทางกาย (ต้องกินยาถ่ายเดียว) ถ้าไม่ใช่คนเขลาที่มองเห็นข้อเท็จจริงเพียงครึ่งเดียว (คือคิดแต่เพียงว่า กายที่แหละที่คุมจิต การแก้ปัญหาอะไรๆ ก็เลยต้องมุ่งไปแก้ที่กายเพียงถ่ายเดียว) ก็เป็นคนโกงที่จงใจบอกข้อเท็จจริงเพียงครึ่งเดียวเพื่อตัวเองจะได้หาประโยชน์ (ขายยา เสียเงินค่าหมอ)
พูดเป็นเล่นไป ผมอ่านข่าวบีบีซี เขาบอกว่า คนไทยนี่แหละ คิดเอาองค์ประกอบเรื่องของการเจริญสติ ฝึกสมาธิ มาสร้างเป็นโปรแกรม “สติบำบัด” ได้ด้วย!
แสดงว่า ในพุทธศาสนานั้น มีองค์ประกอบ (elements) บางอย่าง (หรืออาจจะหลายอย่าง) ที่อาจจะนำเอามาแก้ปัญหา ที่พี่เอชอาร์ที่บริษัทผมบอกว่า “วาระเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข” ได้ก็ได้นะครับ ใครจะไปรู้ สิ่งที่แก้ไขปัญหาได้ อาจเป็นสิ่งใกล้ตัวที่คาดไม่ถึง (ประมาณเส้นผมบังภูเขา) ก็ได้นะครับ!!
ฝากไว้ให้พิจารณา ด้วยนะครับ
สิ่งที่ผมได้กล่าวมานี้ ถึงอาจจะไม่ถูกใจใครบางคน ที่อ่านแล้วอาจจะโต้แย้ง หรืออาจถึงขั้นด่าผมก็เถอะ ผมแค่อยากจะบอกว่า ผมเขียนขึ้นจากโดยมีแรงบันดาลใจจากประสบการณ์ของตัวเอง ช่วงที่ผมอายุสัก 41 ก่อนที่ผมจะตัดสินใจมาเล่น BJJ อย่างจริงๆ จังๆ ผมเองก็เหมือนกับคนวัยกลางคนทั่วๆ ไปที่กำลังเผชิญกับ “วิกฤติวัยกลางคน” และเหตุการณ์ที่ เชสเตอร์ เบนนิงตัน ฆ่าตัวตาย “เพราะโรคซึมเศร้า” มันก็สร้างแรงสะเทือนต่อจิตใจผมไม่น้อย หนึ่งเพราะเป็นนักร้องนำของวงที่ผมเคยชอบมากๆ สองเพราะจริงๆ เชสเตอร์กับผมก็เรียกได้ว่าเป็นคน “รุ่นราวคราวเดียวกัน” (เชสเตอร์เกิดปี พ.ศ. 2519 แก่กว่าผมปีเดียว) ผมจำได้ว่าตอนคืนส่งท้ายปีเก่า พ.ศ. 2560 ผมกระหน่ำเปิดเพลง Lost in the Echo ทั้งคืน
ผ่านมาถึงตอนนี้ ปี พ.ศ. 2566 ผมมี BJJ เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ผมกลับมาศึกษาปรัชญา ธรรมะ เหมือนครั้งสมัยยังหนุ่ม (เรียน ป.ตรี) แต่คราวนี้ผมตัดสินใจเอาสิ่งที่ได้เรียนมา มาถ่ายทอดแก่ท่านผู้อ่าน เพื่อเป็นการ “ตอบแทนสู่สังคม” นานมาแล้วเคยมีเพื่อนที่โรงเรียนเก่า (สวนกุหลาบฯ) พูดวาในเมื่อผมเรียนจบจากญี่ปุ่นมา ผมได้ทำอะไรที่เป็นการตอบแทนสังคมบ้าง? โอเค ถึงผมจะไม่ได้ตอบแทนสังคมด้วยวิชาชีพ (การเป็นอาจารย์มหาลัย) อย่างที่หลายคนคาดหวัง กลายมาเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆ แต่ผมคิดว่า ผมก็ยังมีทางที่จะเอาความรู้ที่มี มา “ตอบแทนสู่สังคม” ได้ ผ่านการเขียนบทความ (ซึ่งตอนนี้ขยายจักรวาลไปสู่ podcast แล้ว แค่ยังไม่ได้ทำช่องยูทูปแค่นั้นแหละ บอกตรงๆ ไม่มีเวลาตัดต่อวิดีโอจ้า) ผมก็จะทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดมุกครับ (ฮา) อย่างน้อยจะเขียนไปเรื่อยๆ จนได้สายดำ BJJ ก่อน ฉะนั้น ยังอีกหลายปีครับ (ฮา)
ครับผม สำหรับวันนี้ก็ขอบพระคุณท่านผู้อ่านด้วยนะครับ สัปดาห์หน้ามาต่อกับ “คัมภีร์ห้าห่วง” เดือนตุลาคมนี้เดือนสุดท้ายแล้วนะครับ พบกันใหม่สวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (85) คัมภีร์แห่งวาโย (ลม): แปด การมีการใช้เท้าในสายสำนักอื่น
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (84) คัมภีร์แห่งวาโย (ลม): เจ็ด สิ่งที่เรียกว่าการจับตาดูในสายสำนักอื่น
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (83) คัมภีร์แห่งวาโย (ลม): หก การใช้การตั้งท่าทะจิในสายสำนักอื่น
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (82) คัมภีร์แห่งวาโย (ลม): ห้า การมีทะจิจำนวนมากในสายสำนักอื่น
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (81) คัมภีร์แห่งวาโย (ลม): สี่ การใช้ทะจิสั้นในสายสำนักอื่น
#โรคซึมเศร้า สังคมญี่ปุ่น สังคมไทย เราควรเอาพุทธศาสนามาช่วยบำบัดดีไหม?